ฝายมีชีวิต โดยครูท้วม ไม้หลา ตอน ความรักความสามัคคี ที่ไม่ได้พบเห็นมานานมากแล้ว

ฝายมีชีวิต ตอนที่ 12

ในการสร้างฝายมีชีวิตนั้น นอกจากจะได้น้ำ ได้พันธุ์สัตว์น้ำต่างๆเพิ่มขึ้นเพราะการสร้างฝายมีชีวิตนั้น มีระบบขั้นบันได ซึ่งอาจารย์สมเดช เรียกว่าบันไดนิเวศน์ ทำให้สัตว์น้ำเหล่านั้นข้ามไปมาได้ มีที่อยู่อาศัยของเขาตามธรรมชาติ ปลาหนึ่งตัว ถ้าเขาได้มีโอกาสขยายพันธุ์ แค่เพียงครั้งเดียว ก็จะมีจำนวนมากมายมหาศาล นอกจากนั้นยังได้มีที่พักผ่อนหย่อนใจของชุมชน สถานที่ให้เด็กและเยาวชนได้เล่นน้ำฝึกหัดว่าน้ำ เพราะหน้าฝาย ระดับน้ำจะลึกประมาณเกือบสองเมตร
และน้ำก็ยังข้ามผ่านฝายไปสู่พื้นที่ข้างล่างได้ตลอดเวลา ยังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของเกษตรกร เพราะน้ำที่แทรกซึมเข้าไปยังผืนดินสองฝั่งคลองนั้น ทำให้พืชทั้งหลายดูดซับเอาน้ำเหล่านั้นขึ้นไปเก็บไว้ กลายเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถคำนวณประมาณปริมาณได้ เมื่อเวลาถึงหน้าแล้ง น้ำจากต้นไม้และพื้นดินทั้งสองฝั่งคลอง ก็จะค่อยๆคืนน้ำนั้นให้กับผืนดินและลำคลองที่มีน้ำลดลง เมื่อถึงหน้าฝน ฝายก็จะเป็นตัวช่วยผลักดัน ให้น้ำนั้นแทรกซึมกลับเข้าไป ยังผืนดินและต้นไม้ทั้งสองฝั่งคลองก็จะดูดซึมซับขึ้นไปเก็บไว้อีก หมุนเวียนเป็นวัฎจักร ไม่มีวันสิ้นสุด
และสิ่งที่ได้มากที่สุดจากการสร้างฝายมีชีวิต แบบที่นึกไม่ถึงมาก่อนเลยคือความรักความสามัคคี ที่ไม่ได้พบเห็นมานานมากแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าพี่น้องทั้งไทยพุทธ คริสต์ อิสลาม จะมาร่วมมือกันอย่างมีความสุข มาทำงานร่วมกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน พูดคุยหยอกล้อกัน เรื่องอย่างนี่ ผมเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต
ครูท้วมไม้หลา 30 12 2557 07.28

ฝายมีชีวิต ตอนที่ 13
ในกระบวนการสร้างฝายมีชีวิตนั้น เป็นกระบวนการที่ประชาชนในท้องถิ่นนั้น ได้ใช้กระบวนการที่ดร.ดำรง  โยธารักษ์ อาจารย์สมเดช  คงเกื้อ อาจารย์ศักดิ์พงษ์  นิลไพรัชน์ สามผู้กล้าแห่งฝายมีชีวิต เรียกกันว่า กระบวนการประชาเข้าใจ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดจากการที่ประชาชนเข้าใจว่า เมื่อก่อนทำไมน้ำจึงท่วม ทำไมหลังจากที่น้ำท่วมไม่นาน ต้องกลับมาพบภาวะน้ำแล้งอย่างหนัก จนกลายเป็นสิ่งที่ทางราชการใช้คำว่าซ้ำซาก และก็ต้องตามมาแก้ปัญหากันทุกปี แต่ทำไมเหมือนยิ่งแก้ แต่ปัญหาเหล่านั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แถมกลับเพิ่มมากขึ้นมาอีก จนประชาชนเกิดความสงสัยว่า ทางราชการน่าจะสนุกกับการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ  หน้าฝนน้ำท่วมหนัก ถนนพัง สะพานพัง ก็ต้องสร้างใหม่ แจกของกันไปอย่างเร่งด่วน ถึงหน้าแล้ง ก็ขุดลอกคลอง ขุดสระ ขุดอ่างน้ำ เอารถวิ่งไปส่งน้ำ มันมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในการแก้ปัญหาแบบนั้นหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ ประชาชนสงสัย ไม่ใช่ผมคนเดียวนะ
จากข้อมูลของดร.ปกรณ์  ดิษฐกิจ อ.มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปริญญาเอกด้านวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ ให้ข้อมูลว่า ลุ่มน้ำคลองท่าดี มีน้ำฝนประมาณปีละ 701 ล้านคิว
แต่เรานำมาใช้ประโยชน์ในทุกๆด้าน เพียง 114 ล้านคิว หรือประมาณ 15 เปอร์เซนต์เท่านั้น อีก 587 ล้านคิว หรือ 85 เปอร์เซ็นต์ ล่ะ หายไปไหน ทั้งๆที่น้ำฝนมีมากเกินความต้องการ ถึงเกือบหกเท่าตัว แต่ทำไมยังต้องมาแก้ปัญหาภัยแล้งกันทุกปี
ครูท้วมไม้หลา 30 12 2557  08.10

Manager Online - Breaking News