ฝายมีชีวิต....นิทาน



               กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองหนึ่งชื่อว่าพาราสาวัตถี เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ทรงทศพิธราชธรรม ชาวประชาหน้าใส พืชผลการเกษตร น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ พ่อค้าวานิช ต่างค้าขายได้กำไรดี ไม่มีใครเอาเปรียบใคร รักใคร่ปรองดองกันดียิ่งนัก เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนา แต่ใครจะนับถือศาสนาใดก็ดี ทุกคนต่างมีความสุขมากล้น

              จวบจนเวลาล่วงเลยมาหลายร้อยปี บ้านเมืองได้ขยายตัวออกไปทุกสารทิศ มีผู้คนเข้ามาอาศัยเพิ่มขึ้นมากมาย อาคารบ้านเรือนขยายตัวมากขึ้น จนกระทั่งพื้นที่ที่เคยใช้เพื่อการเกษตร ไว้ผลิตอาหารเลี้ยงดูชาวเมือง ต้องแปรสภาพไป เป็นสถานที่ทำมาค้าขาย หรือเมืองบริวารมีมากขึ้น แม้กระทั่งแหล่งบันเทิงเริงรมย์ ก็ผุดขึ้นทั่วไป

              เมื่อมีผู้คนมากขึ้น ความเจริญต่างก็ไหลหลามเข้ามาต่ออย่างมากมาย ท่านเจ้าเมืองก็ต้องพัฒนาอย่างเร่งรีบตามรูปแบบโลกาภิวัฒน์ ผู้คนเริ่มสนใจแต่ประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องของตน เริ่มแบ่งพรรคแบ่งพวก มีผลประโยชน์ร่วมกันก็เป็นพวกกัน ผลประโยชน์ขัดกันก็บรรลัย พาราสาวัตถี ไม่มีใครปราณีใคร

              ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ค่อยจางหายไป มือใครยาวสาวได้สาวเอา ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเอาผลประโยขน์เข้าแลก ชนทุกระดับชั้น ต่างหวังแต่จะต้องได้รับการช่วยเหลือจากบ้านเมือง สิ่งใดที่เคยทำได้ ก็กลับทำไม่ได้ สิ่งที่ไม่เคยทำก็กล้าทำ ไม่มีใครต้องการให้ตัวเองรู้สึกว่าเสียเปรียบคนอื่น ขอให้ตัวเองได้คนอื่นเสียหายอย่างไรไม่เกี่ยว

              ต่อมาไม่ช้าไม่นานเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเมือง ชาวเมืองต่างกล่าวโทษคนต้นน้ำว่า ปล่อยให้น้ำไหลเข้าท่วมเมือง ทำให้เศรษฐกิจของบ้านเมืองเสียหายมากมาย ต้องหาทางกั้นไม่ให้น้ำไหลเข้าเมือง โดยวิธีสร้างกำแพงกั้นน้ำ ไม่ให้เข้าสู่กลางเมือง

               แต่แล้วในฤดูน้ำหลากต่อมา น้ำก็ยังท่วมเมืองอยู่ดี เจ้าเมืองก็ต้องไปเจราจา เชิญพระยานาค ให้มาช่วยนำน้ำออกจากเมือง แต่พระยานาคก็ต้องมีค่าใช้จ่ายและต้องมีผู้คนมาช่วยบิดตัวเพื่อตวัดน้ำออกจากเมือง หมดเงินกันไปมากมาย ก้พอช่วยแบ่งเบาปัญหาน้ำท่วมเมืองได้บ้าง

            ต่อมาท่านเจ้าเมืองเกิดความฝันบรรเจิดพริ้งเพริศสแมนแตน เราคิดได้แล้ว วิธีที่จะไม่ให้น้ำท่วมเมือง มีวิธีเดียวเท่านั้น ต้องผันน้ำทั้งหมดที่มาจากต้นน้ำให้ไหลลงสู่ทะเลโดยเร็วที่สุด เราจะต้องสร้างทางด่วนให้น้ำเหล่านั้น รีบไหลลงสู่ทะเลในเร็วพลัน น้ำเป็นตัวอันตราย ทำลายเศรษฐกิจ ให้ฉิบหายวายวอด น้ำจะต้องไม่เข้าในเมืองโดยเด็ดขาด

            จึงใช้ให้ม้าเร็วไปสำรวจเส้นทางว่าจะให้น้ำเหล่านั้นอ้อมเมืองไปทางไหน จะต้องเร่งรีบเร็วไว ไม่ต้องสนใจว่าบ้านใครจะอยู่ในบริเวณนั้น คนต้นน้ำต้องรับผิดชอบ คนต้นน้ำช่างร้ายกาจเสียจริง ปล่อยให้น้ำไหลมาท่วมบ้านเมืองของข้าได้อย่างไร พวกคนเถื่อนต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น อย่าขวางทางน้ำเด็ดขาด


            เหล่าคนต้นน้ำเมื่อถูกทางบ้านเมืองกล่าวหาว่า ตัวเองเป็นผู้ทำให้บ้านเมืองข้างล่างถูกน้ำท่วม ก็มานั่งเจรจาร่วมกันเพื่อหาทางออก ตามวิถีคนบ้านๆ มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งที่รู้ว่าน้ำท่วมเมืองนั้นเกิดจากเหตุใด ก็ได้ความเห็นว่าพวกตนจะต้องช่วยกันชะลอน้ำ ไม่ให้ไหลเข้าเมืองพร้อมกันทีเดียว

             โดยต่างช่วยกันคิดร่วมกันปรึกษา แล้วเห็นตรงกันว่าจะต้องช่วยชาวเมืองผู้เจริญศิวิไลซ์แล้วเหล่านั้น อย่าให้ต้องเดือดร้อน และตัวเองก็จะได้ไม่ต้องย้ายที่อยู่ จึงไปตัดไม้ไผ่มาเป็นจำนวนมากปักลึกลงไปในท้องคลองลึกอย่างน้อยเสาละห้าศอก เพื่อความมั่นคง เป็นหลายร้อยต้น แล้วนำไม้ไผ่และไม้หมากมามัดตามแนวขวางโดยเอาภูมิปัญญาพ่อเฒ่ามาผูกรัดไม้ไผ่เหล่านั้นอย่างแน่นหนา

             หลังจากนั้นก็หาถุงมาใส่ทรายไปจัดวางขวางลำน้ำ โดยค่อยทำอย่างละเอียดปราณีตเพื่อความมั่นคงแข็งแรง ระดับน้ำค่อยค่อยสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่เคยมีแม้แต่เพลาเดียว ที่น้ำนั้นจะหยุดไหล ยิ่งจัดวางกระสอบสูงขึ้นเท่าไหร่ ระดับน้ำก็สูงขึ้นไปตลอด นอกจากนำในลำน้ำจะสูงขึ้นแล้ว คนที่อยู่ไกลออกไปจากสองฝั่งคลอง ก็ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยแปลง น้ำในบ่อน้ำตื้นที่เคยแห้งขอด ก็เริ่มมีระดับน้ำสูงขึ้นมา

              คนเหนือเมืองช่วยกันทำอย่างนี้เป็นเพลาล่วงแล้วหลายวันพระ โดยไมเคยเรียกร้องค่าเสียเวลาจากผู้ใด ทำด้วยใจปราถนาให้คนเมืองพ้นทุกข์จากน้ำที่มาจากต้นน้ำไม่ให้ไหลเข้าท่วมเมือง และตนเองจะได้อยู่อาศัยในผืนแผ่นดินที่เหล่าบรรพรุษ ได้ร่วมกันหักร้างถางพง หวังให้ลูกหลานได้อยู่สบายในภายภาคหน้า

              เมื่อพ้นฤดูน้ำหลาก ชาวบ้านต่างโล่งอก พวกตัวเองได้รับผลต่อเนื่อง หน้าแล้งที่เคยเดือดร้อน ไม่มีน้ำกินน้ำใช้ ก็มีน้ำกินน้ำใช้อย่างอุดมสมบูรณ์ พืชผลการเกษตรให้ผลผลิตเต็มที่ ลูกหลานมีที่เล่นน้ำหัดว่ายน้ำอย่างสนุกสนาน เหล่ากุ้งหอยปูปลาที่สูญหายไปนานช้าก็กลับมาปรากฎให้เห็น ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น รายจ่ายลดลง

             อยู่มาวันหนึ่งมีคนแปลกหน้าขึ้นมาดูสถานที่ที่ชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างขึ้นมา และได้ปลูกต้นไทรและไม้น้ำอื่นๆไว้ทั้งสองฝั่งคลอง แล้วเรียกชื่อที่แห่งนั้นว่า ฝายมีชีวิต ต่างคนต่างชื่นชมว่าชาวบ้านที่รี่ช่างคิดช่างทำ แทนที่จะปล่อยให้น้ำซึ่งเทวดาให้มา จะไหลลงสู่ทะเลโดยเปล่าประโยชน์ ก็รู้จักหาวิธีการเก็บรักษาไว้ นอกจากนั้นยังช่วยผ่อนภาระน้ำท่วมเมืองอีกด้วย


         





ผลงาน "ครูท้วม" ฝายมีชีวิตคลองพุดหง 


แล้วคุณคิดอย่างไรแสดงความคิดเห็นด้านล่างได้ครับ




ฝายมีชีวิตคลองพุดหง

ฝายมีชีวิตคลองพุดหง

ฝายมีชีวิตคลองพุดหง


ฝายมีชีวิตทุ่งสง

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

อย่าอายถ้าจะต้องเรียนรู้ภูมิปัญญาบรรพบุรุตแล้วรำมาใช้เพราะได้ผล

Manager Online - Breaking News