ฝายมีชีวิตเป็นกระบวนการเปลี่ยนวิธีคิดคนส่วนมากที่หลงอยู่กับ
1.การแก้ปัญหาน้ำด้วยโครงสร้างแข็ง
2.การคิดแบบแยกส่วน ตามความถนัดที่ตนเรียนมา เช่น น้ำท่วมทีก็รีบเอาน้ำออก น้ำแล้งก็หาน้ำมาแจก ดังนั้นเราต้องทำความเข้าใจว่าฝายมีชีวิตเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาน้ำท่วม (น่าจะใช้คำว่าน้ำผ่าน) น้ำหลาก น้ำแล้ง ที่สำคัญเป็นเพิ่มน้ำใต้ดินที่กำลังลดลงอย่างน่าเป็นห่วง
เป็นการแก้ปัญหาด้วยวิธีคิดแบบเชื่อมโยง ที่ภาษาราชการเรียกว่า บูรณาการ
ที่สำคัญต้องให้ข้อมูลว่า น้ำต้องผ่านพื้นที่เรา จากภูเขาลงทะเล และเขายินดีให้ค่าผ่านทาง เช่น น้ำท่วมแต่ละครั้งเขาจะนำเอาปุ๋ยตามธรรมชาติ(ไม่ต้องซื้อมาให้เรา) เขาจะมาล้างเชื้อโรค สิ่งปฏิกูล เขาจะช่วยสร้างความสมดุลของประชากร มด ปลวก แมลง ไม่ให้มีมากเกินไปจนเป็นอันตราบคนคน บ้านเรือน และต้นไม้(ต้นไม้ใหญ่เป็นโพรงและล้มง่าย) ที่สำคัญเขาต้องขอเวลาท่วมขังสักระยะไม่นานเพื่อซึมลงดินเป็นน้ำบาดาลให้เราได้ใช้ยามหน้าแล้ง
ในทางการเมืองฝายมีชีวิตเป็นกระบวนการสร้างจิตวิญญานของความเป็นพลเมือง
"พลเมือง" หมายถึง ประชาชนหรือราษฎรที่นอกจากปฏิบัติตามกฏหมาย เสียภาษี แล้ว ยังต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาบ้านเมือง มิใช่ให้ใครก็ไม่รู้ที่ไม่เข้าใจวิถีของเรามาแก้ให้ เสร็จแล้วเขาก็ไป แต่เราต้องอยู่ที่นี่
ชุมชนที่สามารถลุกขึ้นมาจัดการตนเองได้ แสดงว่า ชุมชนนั้นมีคนที่มีจิตสำนึกของความเป็นพลเมืองสูง ชุมชนเข้มแข็งหมายถึงชุมชนที่จัดการตนเองได้ พึ่งตนเองได้ ชุมชนต้องเรียนรู้จึงจะเข้มแข็ง
ส่วนมากคนในชุมชนมี 3 พวกใหญ่ๆ
1.ประมาณ 15%เป็นคนที่มีจิตวิญญานความเป็นพลเมือง มีจิตอาสา อยู่แล้ว
2.ประมาณ 15% เป็นพวกนั่งร้านน้ำชาพากเพื่อน
3.ประมาณ 70% เฉยๆ แบบไหนก็ได้ ข้างใหนดีไปทางนั้นไปข้างนั้น
ดังนั้น ถ้าเจอพวกที่สองก็อย่าไปสนใจ ไม่ต้องเสียกำลังใจ เพราะถ้าเราทำให้ 70%เข้าใจ และมาอยู่ข้างเรา ก็มากกว่า พวกที่สองแน่นอน
เครดิต.....ดร.ดำรง โยธารักษ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น