กาลครั้งหนึ่ง..บทเรียนของการพัฒนาที่ไร้ทิศทาง



กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ มีมานพหนึ่งในชนบท ห่างจากเมืองสาวัตถีหนึ่งโยชน์ ได้เข้าไปลอบฟังที่ท่านอาจารย์เที่ยงตรง ณ.สำนักตักศิลาการจัดการตนเอง ได้แนะนำให้ผู้คนทั้งหลาย เข้าใจถึงการพัฒนาของสรรพสิ่งในโลกนี้ ว่าที่มาจากธรรมชาติ ที่จัดให้อย่างถูกต้องอยู่แล้ว แต่ต่อมาผู้คนทั้งหลาย มีความคิดว่าตนเองนั้นมีสติปัญญาความรู้เป็นเลิศ ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติอีกต่อไป จึงต่างเร่งแข่งขันสร้างในสิ่งที่ตนเองคิดว่าเป็นความเจริญให้กับบ้านเมือง ไม่มีใครยอมน้อยหน้าใคร หลายคนต่างมุ่งหวังให้ตนเองได้ร่ำรวย มีหน้ามีตา เป็นที่นับถือยกย่องของผู้คนทั้งหลาย

ต่างคนต่างเสาะแสวงหาเครื่องมือและวิธีการต่างๆ เพื่อสร้างสิ่งบริการชีวิต ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น เขาเหล่านั้นต่างเชื่อส่า เขาเอาชนะธรรมชาติได้ เขาสั่งช้างเหล็กมาจากต่างบ้านต่างเมือง เขามีดินระเบิดขนาดยักษ์ในการทำลายภูเขา เขามีนายช่างใหญ่ทุกสาขามาช่วยกันสร้างในสิ่งที่พวกเขาเรียกส่าความเจริญ สิ่งที่ชาวเมืองไม่เคยเห็นก็ได้เห็น พวกเขาช่างเหมือนเทวดา เนรมิตอะไรก็ได้

พื้นที่เดิมของเมืองมีไม่พอแล้ว เขาก็ช่วยกันขยายออกไปสู่ชานเมืองรอบด้าน เขาทำทางให้กว้างใหญ่ เพื่อรองรับช้างเหล็กหลายขา ม้าเหล็กที่งดงาม ซึ่งต้องแลกมาด้วยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หรือแม้กระทั่งที่อยู่อาศัย เพื่อจะได้ให้ชาวเมืองคนอื่นเห็นว่าเขาเป็นผู้มีฐานะ

ชาวเมืองทั้งหลายต่างแข่งขันกันหาสิ่งบริการชีวิต บ้านที่ในอดีตเคยมีใต้ถุนสูง ฝาบ้านโล่งสบาย อากาศถ่ายเทสะดวก มีขนาดพอประมาณ กลายเป็นสิ่งล้าสมัย

เขาแข่งขันสร้างบ้านใหม่ที่ใหญ่โตหรูหรา ปกปิดมิดชิด อากาศเข้าออกไม่ได้ เพราะกลัวฝุ่นและเชื้อโรคจะเข้ามา เมื่ออากาศเข้าออกไม่ได้ เขาก็คิดค้นเครื่องปรุงอากาศ ทำให้เขามีความรู้สึกเย็นสดชื่น ถ้าบ้านใครไม่มี ก็จะรู้สึกว่าน่าอับอาย กลายเป็นคนชั้นต่ำ

ผืนแผ่นดินที่พวกขาช่วยกันว่าจ้างช้างเหล็กหลายขาให้เอาดินจากนอกเมืองมาถม เพื่อให้ที่ของตัวเองอยู่ในระดับสูงเด่น และพ้นจากภาวะน้ำท่วม ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่าน่ารังเกียจ และสร้างความเสียให้กับทรัพย์สมบัติของพวก เมื่อคนอื่นเห็นเขาถมแล้วพ้นภัยต่างคนต่างแย่งกันถม แม้แต่มานพหนุ่มนอกเมืองคนนั้น ก็เอาอย่างด้วย

เมื่อทางบ้านเมืองเห็นเช่นนั้น ก็เร่งปรับปรุงทางสัญจรใหม่ ให้กว้างมากขึ้น ให้สูงมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างแข่งขันเพื่อทำให้ของตนเองสูงกว่า โดยใช้ขบวนช้างเหล็กหลายขามากขึ้น ใช้ดินระเบิดมากขึ้น ด้วยความหวังว่า บ้านเมืองของตนเองจะต้องไม่มีน้ำท่วม

เมื่อบ้านเมืองกับชาวเมืองต่างแข่งขันกันทำให้ที่ของตัวเองสูงขึ้น เจ้าของขบวนช้างเหล็กม้าเหล็กต่างก็เริงร่าเปรมปรีดา กิจการต่างขยายตัวมากยิ่งกว่าดอกเห็ด แต่คนนอกเมืองเริ่มใจหายเพราะไม่ว่าจะเป็นดิน หิน ทราย หรือต้นไม้ต่างๆถูกทำลายทุกวัน เพียงเพื่อให้คนในเมือง ได้แสดงความสามารถเกินความจำเป็น ที่พระพุทธองค์ ได้สอนไว้เรื่องปัจจัยสี่ แต่เสียงของคนเหล่านั้น ไม่ดังพอที่จะกลบเสียงแห่งความสนุกสนานรื่นเริงของเหล่าชาวเมือง

เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก เส้นทางที่น้ำเคยไหลเคยนำสรรพอาหารที่พืชและสัตว์ต่างๆเข้าสู่ทุ่งสู่พรุนอกเมือง พื้นที่เหล่านั้นได้ผันแปรสภาพจากพื้นที่รับน้ำ ไปหมดแล้ว เมื่อน้ำไม่มีทางผ่าน ก็เลยต้องวนเวียนอยู่ในเขาวงกตแห่งเงินตรา ที่เหล่าผู้มากภูมิปัญญาทั้งหลายได้แข่งขันสร้างไว้ แต่ลืมเรื่องของธรรมชาติ ว่าฝนฟ้ายังตกเหมือนเดิม น้ำยังต้องการที่เดินทาง เมื่อถูกขวางเอาไว้จึงกลายเป็นน้ำท่วมเมือง

แต่ท่านผู้มีปัญญาแก่กล้าเหล่านั้น ก็ไม่สามารถที่จะยอมให้เสียเชิงชาย จึงคิดขึ้นได้ว่า เมื่อน้ำต้องการทางผ่านก็จัดให้ โดยร่วมกันคิดด้วยภูมิปัญญายอดเยี่ยมว่า ต้องผลักดันน้ำไม่ให้ไหลเข้าตัวเมืองซึ่งเป็นไข่แดง จะให้เสียหายไม่ได้เพราะจะให้น้ำมาเป็นวัตถุแปลกปลอมในพื้นที่สำหรับคนชั้นพิเศษไม่ได้

น่าเสียดาย ที่ท่านเหล่านั้นมีสายตาที่ยาวไกล ไกลจนมองความจริงใกล้ไม่เห็น ว่าที่จริงแล้วน้ำ เป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ น้ำกับคนจะต้องอยู่ร่วมกัน ไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ เขาหลายนั้นคงจะลืมไปว่าน้ำมีคุณอนันต์ แต่ถ้าไม่รู้จักอยู่ร่วมกันก็จะกลายเป็นโทษอย่างมหันต์ เขาลืมบทเรียนต่างๆ ที่ธรรมชาติ เคยทำให้เห็น อนิจจา มนุษย์ผู้ทนงตนว่า เป็นผู้ที่เก่งที่สุดในปฐพี

จนกระทั่งได้มีท่านผู้เข้าใจธรรมชาติท่านหนึ่งซึ่งเป็นสหายของท่านอาจารย์เที่ยงตรง คืออาจารย์คงเดช ได้มองเห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น และรู้ว่าในอนาคต จะมหันตภัยใหญ่ทั้งจากน้ำจากแผ่นดิน ในเวลาอีกไม่นาน จึงได้ชักชวนผู้คนทั้งหลายมานั่งหารือถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น เรียกกระบวนการนี้ว่า ประชาเข้าใจ หมายถึงการร่วมมือกันพูดคุยปรึกษากันถึงสมัยบรรพรุษ ที่ยังไม่มีความเจริญต่างๆเหมือนสมัยนี้ ทำไมท่านเหล่านั้นจึงอยู่ได้ โดยไม่เดือดร้อน และอยู่อย่างมีความสุขสมัครสมานสามัคคี

จึงได้รับรู้ว่าสมัยก่อนนั้นชาวบ้านพึ่งพาอาศัยน้ำเป็นหลัก บ้านเรือนทั้งหลายจะอยู่ริมน้ำ สัญจรทางน้ำ ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า รักษาแหล่งน้ำ และพืชพรรณต่างๆไว้อย่างเหมาะสม บ้านเรือนก็ยกแบบมีใต้ถุนสูง หน้าแล้งไว้เป็นที่พักที่ทำกิน หน้าฝนก็ปล่อยให้น้ำไหลผ่านไม่กั้นน้ำไว้

ริมคลองริมน้ำก็จะมีไม้ใหญ่เช่นต้นไทร ต้นมะเดื่อ และต้นไม้อื่นๆอีกมากมาย ไว้ให้เป็นร่มเงา เป็นแหล่งอาหารของนกของปลา รากของต้นไม้เหล่านั้นก็จะช่วยยึดดินริมตลิ่งไว้ให้มั่นคง และพื้นที่ตรงนั้นก็จะกลายเป็นวังให้กุ้งหอยปูปลาต่างๆ ได้อยู่อาศัยขยายพันธุ์ เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารของผู้คน

ต่อมาเมื่อท่านผู้รู้ในเมืองเกิดความกลัวว่าน้ำจะไหลเข้าท่วมบ้านเมืองของท่าน ท่านจึงได้สั่งลิงมือเหล็กให้ลงไปขุดลอกท้องคลองและลำน้ำทั้งหลาย เพียงเพื่อให้ได้ไล่น้ำทั้งหลายที่เขาเหล่านั้นไม่รู้จักประโยชน์ ได้รีบไหลลงสู่ทะเล เพื่อป้องกันไม่ให้บ้านเรือนและแหล่งทำมาค้าขายของท่าน ชาวบ้านก็ไม่กล้าเถียงหรือแม้กล้าเถียง เสียงก็ดังไม่พอ

หลังจากให้ลิงไปลิงมือเหล็กไปลอกท้องคลองแล้ว ถึงหน้าน้ำหลาก บางฤดูกาลน้ำก็ท่วมหนักมากกว่าเดิม ท่านผู้รู้เหล่านั้นท่านก็คิดได้ว่า ทางน้ำที่ให้ลิงมือเหล็กไปขุดลอดนั้น อยู่ใกล้เมืองเกินไป ต้องขุดลอกใหม่ให้อ้อมเมืองมากกว่าเดิม เพื่อน้ำจะได้ไม่ท่วมเมืองอย่างนิรันดร

ฝ่ายชาวบ้านหลังจากที่โดนลิงมือเหล็กมาขุดลอกท้องคลองไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้พบความจริงว่า การที่บ้านเมืองมาขุดลอกท้องคลองไม่ได้รับประโยชน์แม้แต่น้อย แถมตลิ่งริมคลองหลายที่หลายแห่ง ก็เกิดความเสียหายจากกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก หนำซ้ำหลังจากนั้นไม่นาน ผืนแผ่นดินทั้งสองฝั่งคลองก็เริ่มแห้งแล้ง น้ำในบ่อน้ำตื้นที่เคยมีใช้ก็แห้งขอด จนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ เหล่าต้นไม้นานาพรรณ ก็เริ่มเหี่ยวเฉาให้ผลผลิตลดลง บางต้นก็ล้มหายตายจากไป

บางที่ที่รู้จักผู้มีอำนาจ ก็เอาตาข่ายเหล็กเอาหินเอาปูนเอาทรายมาช่วยทำให้ สิ้นเปลืองเงินหลวง ไปอีกมากมาย แต่ชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มี ผู้มีอำนาจ ก็ได้แต่นั่งเหม่อมองความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงได้ร่วมกันปรึกษาหารือกันเรียกว่า การจัดการตนเอง โดยมีอาจารย์สามสหาย คือ อาจารย์เที่ยงตรง อาจารย์คงเดช อาจารย์ฤทธิพงษ์ มาเป็นผู้ให้คำปรึกษาและร่วมกันทำสิ่งที่เรียกว่า ฝายมีชีวิต

ฝายมีชีวิตเป็นสิ่งขาวบ้านริมน้ำ ช่วยกันสร้างขึ้นมา หลังจากที่เขาทั้งหลายได้รู้ซึ้งถึงความจริงของธรรมชาติ ว่าจะต้องอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลย์ เรียกภาษาให้ทันสมัยว่าว่า ระบบนิเวศนวิทยา ซึ่งหมายถึงทุกสิ่งจะต้องอาศัยซึ่งกันและกันได้ อย่างเหมาะสม ไม่มีการกีดกันสิ่งหนึ่งสิ่งไดออกไปจากระบบ เหมือนกับที่ท่านผู้รู้ผู้มีอำนาจในเมืองกำลังคิดกำลังทำ

ชาวบ้านจึงประชุมปรึกษาหารือกัน แล้วก็ร่วมกันดำเนินการไปตัดไม้ไผ่ซึ่งหลายคนช่วยกันบริจาค บางคนก็ตัดมาให้เองทุกวันโดยไม่ต้องพูดคุยกับใครแบบใจถึงใจ คนที่มีพละกำลังแข็งขัน ก็ใช้สองเกลอช่วยกันตอกเสาไม้ไผ่ลงท้องคลองทีละต้น โดยมีความลึกไม่น้อยกว่าห้าศอก โดยเสาที่สูงที่สุดขึ้นมาจากท้องห้าศอกเช่นกัน ปักเป็นแถวเป็นแนว ความกว้างตามขนาดของท้องคลอง ความยาวตามท้องมากกว่าความกว้างประมาณหนึ่งส่วน

เสาแต่ละต้นจะปักห่างกันประมาณหนึ่งคืบบ้างหนึ่งศอกบ้าง แล้วแต่ความเหมาะสม เมื่อส่วนของสันได้ตามต้องการแล้ว ก็จะทำเป็นขั้นบันไดลดหลั่นลงมา ขั้นละหนึ่งศอกกว้างประมาณสองศอก ลดหลั่นลงมาทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ข้างละห้าขั้น จนขั้นต่ำสุดจะสูงจากท้องคลองประมาณหนึ่งศอก แต่ต้องไม่ลืมว่าเสาทุกต้นนั้น จะต้องฝังลงในแผ่นดินไม่น้อยกว่าห้าศอกทุกคนต้น

เมื่อผู้มีพละกำลังกล้าแข็งได้ตอกเสาเสาลึกลงไปในท้องคลองแล้วต่อมาก็จะเป็นเรื่องของผู้รอบรู้การร้อยรัดมัดเชือก ก็จะนำไม้ไผ่มาตั้งเป็นขวางกับเสาแล้วใช้เชือกผูกมัดให้แข็งแรงมั่นคง จนกระทั่งกลายเป็นโครงสร้างที่มั่นคงแข็งแรง

จากนั้นจึงนำถุงมาจัดทรายแล้ววางเรียงกันเป็นชั้นขึ้นมาทีละชั้นให้เสมอกัน ระดับน้ำน้ำก็จะค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็จะไหลผ่านไปเบื้องล่างได้ตลอดเวลา ซึ่งทุกขั้นตอนของจัดทำฝายมีชีวิตนี้ ชาวบ้านจะสละเวลาและแรงกายแรงทรัพย์ที่มี โดยทุกคนจะร่วมกันทำอย่างมีความสุข คนจากหลากหลายพื้นที่ที่ทราบข่าว ก็จะระดมกันมาช่วย แม้แต่พระคุณเจ้า สามเณร เด็กอนุบาล เด็กวัยรุ่น จนทราบถึงเหล่าทหาร ก็ได้ระดมกลังกันมาช่วย เพราะทุกคนต่างมั่นใจว่านี่คือการแก้ปัญหาน้ำที่ทำได้ง่าย และได้ผลแน่นอน รวมทั้งช่วยกันปลูกป่าปลูกต้นไทรบริเวณหูช้างฝายทั้งสองฝั่งคลอง เพื่อต่อไปภายภาคหน้า รากของต้นไม้เหล่านั้น จะเข้าไปกินไม้ไผ่และอยู่ในลำน้ำนั้นตลอดกาลนาน ลำต้นและกิ่งก้านจะให้ร่มเงา ดอกและผลก็จะเป็นอาหารของนกและสัตว์น้ำทั้งหลาย จนกระทั่งเป็นฝายมีชีวิตอย่างแท้จริง และเขาเหล่านั้นต่างเชื่อว่าบุญกุศลที่เขาได้ร่วมกันกระทำ จะช่วยฟื้นฟูธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

สิ่งที่ชาวบ้านทั้งหลายได้รับจากการกระทำในครั้งนี้ เหมือนบุญตามส่ง น้ำที่เคยแห้งหายก็กลับมาเต็มตลอดเวลา ต้นไม้ที่เคยเหี่ยวเฉา กลับเขียวขจีให้ดอกให้ผลอย่างเต็มที ผิดกับหลายปีที่ผ่านมา เหล่าสัตว์น้ำทั้งหลายที่เคยสูญหายไปแล้ว กลับมีมามากมาย และมีสถานที่ให้เด็กทั้งหลายทั้งใกล้และไกลได้มาสนุกสนานฝึกหัดว่ายน้ำกัน พ่อแม่ผู้ปกครองต่างก็มีความสุข ที่ได้เห็นลูกหลานเบิกบานใจ แม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกล ออกไปหลายสิบเส้น ก็ได้รับอานิสง น้ำในบ่อน้ำตื้นมีใช้ตลอดเวลา

ความเดือดร้อนจากน้ำท่วมน้ำแหล่งที่เคยมีมาตลอดก็ค่อยๆหายไป ราชการบ้านเมืองไม่ต้องมาเสียเวลาช่วยแก้ปัญหา นี่คือผลบุญในชาตินี้ที่ทุดคนได้รับทันตาเห็น จากการร่วมกันรักษาธรรมชาติ ช่วยให้ระบบนิเวศน์กลับคืนมาเข้าหลักการที่ว่า มึงกับกูอยู่ร่วมกันได้

ท่านผู้มีอำนาจหรือใครก็แล้วแต่ที่คิดจะทำลายความสมบูรณ์ของธรรมชาติอีก ก็เหมือนท่านทำบาปอย่างใหญ่หลวง ท่านทำลายต้นไม้ ทำลายที่อยู่ของคน และสัตว์ที่ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านจะต้องตกนรกทั้งเป็น และเมื่อตายไปแล้วสวรรค์จะปิดประตู คนที่ทำลายแม้ธรรมชาติที่ให้ความสุข ความอุดมสมบูรณ์ทั้งหลาย ประตูนรกเปิดแน่นอน


เครดิต : ครูท้วม ฝายมีชีวิตคลองพุดหง

ฝายมีชีวิต..กระบวนการเปลี่ยนวิธีคิด

             

             ฝายมีชีวิตเป็นกระบวนการเปลี่ยนวิธีคิดคนส่วนมากที่หลงอยู่กับ

1.การแก้ปัญหาน้ำด้วยโครงสร้างแข็ง
2.การคิดแบบแยกส่วน ตามความถนัดที่ตนเรียนมา เช่น น้ำท่วมทีก็รีบเอาน้ำออก น้ำแล้งก็หาน้ำมาแจก ดังนั้นเราต้องทำความเข้าใจว่าฝายมีชีวิตเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาน้ำท่วม (น่าจะใช้คำว่าน้ำผ่าน) น้ำหลาก น้ำแล้ง ที่สำคัญเป็นเพิ่มน้ำใต้ดินที่กำลังลดลงอย่างน่าเป็นห่วง

              เป็นการแก้ปัญหาด้วยวิธีคิดแบบเชื่อมโยง ที่ภาษาราชการเรียกว่า บูรณาการ
ที่สำคัญต้องให้ข้อมูลว่า น้ำต้องผ่านพื้นที่เรา จากภูเขาลงทะเล และเขายินดีให้ค่าผ่านทาง เช่น น้ำท่วมแต่ละครั้งเขาจะนำเอาปุ๋ยตามธรรมชาติ(ไม่ต้องซื้อมาให้เรา) เขาจะมาล้างเชื้อโรค สิ่งปฏิกูล เขาจะช่วยสร้างความสมดุลของประชากร มด ปลวก แมลง ไม่ให้มีมากเกินไปจนเป็นอันตราบคนคน บ้านเรือน และต้นไม้(ต้นไม้ใหญ่เป็นโพรงและล้มง่าย) ที่สำคัญเขาต้องขอเวลาท่วมขังสักระยะไม่นานเพื่อซึมลงดินเป็นน้ำบาดาลให้เราได้ใช้ยามหน้าแล้ง
            ในทางการเมืองฝายมีชีวิตเป็นกระบวนการสร้างจิตวิญญานของความเป็นพลเมือง
"พลเมือง" หมายถึง ประชาชนหรือราษฎรที่นอกจากปฏิบัติตามกฏหมาย เสียภาษี แล้ว ยังต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาบ้านเมือง มิใช่ให้ใครก็ไม่รู้ที่ไม่เข้าใจวิถีของเรามาแก้ให้ เสร็จแล้วเขาก็ไป แต่เราต้องอยู่ที่นี่

             ชุมชนที่สามารถลุกขึ้นมาจัดการตนเองได้ แสดงว่า ชุมชนนั้นมีคนที่มีจิตสำนึกของความเป็นพลเมืองสูง ชุมชนเข้มแข็งหมายถึงชุมชนที่จัดการตนเองได้ พึ่งตนเองได้ ชุมชนต้องเรียนรู้จึงจะเข้มแข็ง
ส่วนมากคนในชุมชนมี 3 พวกใหญ่ๆ

             1.ประมาณ 15%เป็นคนที่มีจิตวิญญานความเป็นพลเมือง มีจิตอาสา อยู่แล้ว

             2.ประมาณ 15% เป็นพวกนั่งร้านน้ำชาพากเพื่อน

            3.ประมาณ 70% เฉยๆ แบบไหนก็ได้ ข้างใหนดีไปทางนั้นไปข้างนั้น

              ดังนั้น ถ้าเจอพวกที่สองก็อย่าไปสนใจ ไม่ต้องเสียกำลังใจ เพราะถ้าเราทำให้ 70%เข้าใจ และมาอยู่ข้างเรา ก็มากกว่า พวกที่สองแน่นอน


เครดิต.....ดร.ดำรง โยธารักษ์

ฝายมีชีวิต....นิทาน



               กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองหนึ่งชื่อว่าพาราสาวัตถี เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ทรงทศพิธราชธรรม ชาวประชาหน้าใส พืชผลการเกษตร น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ พ่อค้าวานิช ต่างค้าขายได้กำไรดี ไม่มีใครเอาเปรียบใคร รักใคร่ปรองดองกันดียิ่งนัก เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนา แต่ใครจะนับถือศาสนาใดก็ดี ทุกคนต่างมีความสุขมากล้น

              จวบจนเวลาล่วงเลยมาหลายร้อยปี บ้านเมืองได้ขยายตัวออกไปทุกสารทิศ มีผู้คนเข้ามาอาศัยเพิ่มขึ้นมากมาย อาคารบ้านเรือนขยายตัวมากขึ้น จนกระทั่งพื้นที่ที่เคยใช้เพื่อการเกษตร ไว้ผลิตอาหารเลี้ยงดูชาวเมือง ต้องแปรสภาพไป เป็นสถานที่ทำมาค้าขาย หรือเมืองบริวารมีมากขึ้น แม้กระทั่งแหล่งบันเทิงเริงรมย์ ก็ผุดขึ้นทั่วไป

              เมื่อมีผู้คนมากขึ้น ความเจริญต่างก็ไหลหลามเข้ามาต่ออย่างมากมาย ท่านเจ้าเมืองก็ต้องพัฒนาอย่างเร่งรีบตามรูปแบบโลกาภิวัฒน์ ผู้คนเริ่มสนใจแต่ประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องของตน เริ่มแบ่งพรรคแบ่งพวก มีผลประโยชน์ร่วมกันก็เป็นพวกกัน ผลประโยชน์ขัดกันก็บรรลัย พาราสาวัตถี ไม่มีใครปราณีใคร

              ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ค่อยจางหายไป มือใครยาวสาวได้สาวเอา ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเอาผลประโยขน์เข้าแลก ชนทุกระดับชั้น ต่างหวังแต่จะต้องได้รับการช่วยเหลือจากบ้านเมือง สิ่งใดที่เคยทำได้ ก็กลับทำไม่ได้ สิ่งที่ไม่เคยทำก็กล้าทำ ไม่มีใครต้องการให้ตัวเองรู้สึกว่าเสียเปรียบคนอื่น ขอให้ตัวเองได้คนอื่นเสียหายอย่างไรไม่เกี่ยว

              ต่อมาไม่ช้าไม่นานเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเมือง ชาวเมืองต่างกล่าวโทษคนต้นน้ำว่า ปล่อยให้น้ำไหลเข้าท่วมเมือง ทำให้เศรษฐกิจของบ้านเมืองเสียหายมากมาย ต้องหาทางกั้นไม่ให้น้ำไหลเข้าเมือง โดยวิธีสร้างกำแพงกั้นน้ำ ไม่ให้เข้าสู่กลางเมือง

               แต่แล้วในฤดูน้ำหลากต่อมา น้ำก็ยังท่วมเมืองอยู่ดี เจ้าเมืองก็ต้องไปเจราจา เชิญพระยานาค ให้มาช่วยนำน้ำออกจากเมือง แต่พระยานาคก็ต้องมีค่าใช้จ่ายและต้องมีผู้คนมาช่วยบิดตัวเพื่อตวัดน้ำออกจากเมือง หมดเงินกันไปมากมาย ก้พอช่วยแบ่งเบาปัญหาน้ำท่วมเมืองได้บ้าง

            ต่อมาท่านเจ้าเมืองเกิดความฝันบรรเจิดพริ้งเพริศสแมนแตน เราคิดได้แล้ว วิธีที่จะไม่ให้น้ำท่วมเมือง มีวิธีเดียวเท่านั้น ต้องผันน้ำทั้งหมดที่มาจากต้นน้ำให้ไหลลงสู่ทะเลโดยเร็วที่สุด เราจะต้องสร้างทางด่วนให้น้ำเหล่านั้น รีบไหลลงสู่ทะเลในเร็วพลัน น้ำเป็นตัวอันตราย ทำลายเศรษฐกิจ ให้ฉิบหายวายวอด น้ำจะต้องไม่เข้าในเมืองโดยเด็ดขาด

            จึงใช้ให้ม้าเร็วไปสำรวจเส้นทางว่าจะให้น้ำเหล่านั้นอ้อมเมืองไปทางไหน จะต้องเร่งรีบเร็วไว ไม่ต้องสนใจว่าบ้านใครจะอยู่ในบริเวณนั้น คนต้นน้ำต้องรับผิดชอบ คนต้นน้ำช่างร้ายกาจเสียจริง ปล่อยให้น้ำไหลมาท่วมบ้านเมืองของข้าได้อย่างไร พวกคนเถื่อนต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น อย่าขวางทางน้ำเด็ดขาด


            เหล่าคนต้นน้ำเมื่อถูกทางบ้านเมืองกล่าวหาว่า ตัวเองเป็นผู้ทำให้บ้านเมืองข้างล่างถูกน้ำท่วม ก็มานั่งเจรจาร่วมกันเพื่อหาทางออก ตามวิถีคนบ้านๆ มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งที่รู้ว่าน้ำท่วมเมืองนั้นเกิดจากเหตุใด ก็ได้ความเห็นว่าพวกตนจะต้องช่วยกันชะลอน้ำ ไม่ให้ไหลเข้าเมืองพร้อมกันทีเดียว

             โดยต่างช่วยกันคิดร่วมกันปรึกษา แล้วเห็นตรงกันว่าจะต้องช่วยชาวเมืองผู้เจริญศิวิไลซ์แล้วเหล่านั้น อย่าให้ต้องเดือดร้อน และตัวเองก็จะได้ไม่ต้องย้ายที่อยู่ จึงไปตัดไม้ไผ่มาเป็นจำนวนมากปักลึกลงไปในท้องคลองลึกอย่างน้อยเสาละห้าศอก เพื่อความมั่นคง เป็นหลายร้อยต้น แล้วนำไม้ไผ่และไม้หมากมามัดตามแนวขวางโดยเอาภูมิปัญญาพ่อเฒ่ามาผูกรัดไม้ไผ่เหล่านั้นอย่างแน่นหนา

             หลังจากนั้นก็หาถุงมาใส่ทรายไปจัดวางขวางลำน้ำ โดยค่อยทำอย่างละเอียดปราณีตเพื่อความมั่นคงแข็งแรง ระดับน้ำค่อยค่อยสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่เคยมีแม้แต่เพลาเดียว ที่น้ำนั้นจะหยุดไหล ยิ่งจัดวางกระสอบสูงขึ้นเท่าไหร่ ระดับน้ำก็สูงขึ้นไปตลอด นอกจากนำในลำน้ำจะสูงขึ้นแล้ว คนที่อยู่ไกลออกไปจากสองฝั่งคลอง ก็ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยแปลง น้ำในบ่อน้ำตื้นที่เคยแห้งขอด ก็เริ่มมีระดับน้ำสูงขึ้นมา

              คนเหนือเมืองช่วยกันทำอย่างนี้เป็นเพลาล่วงแล้วหลายวันพระ โดยไมเคยเรียกร้องค่าเสียเวลาจากผู้ใด ทำด้วยใจปราถนาให้คนเมืองพ้นทุกข์จากน้ำที่มาจากต้นน้ำไม่ให้ไหลเข้าท่วมเมือง และตนเองจะได้อยู่อาศัยในผืนแผ่นดินที่เหล่าบรรพรุษ ได้ร่วมกันหักร้างถางพง หวังให้ลูกหลานได้อยู่สบายในภายภาคหน้า

              เมื่อพ้นฤดูน้ำหลาก ชาวบ้านต่างโล่งอก พวกตัวเองได้รับผลต่อเนื่อง หน้าแล้งที่เคยเดือดร้อน ไม่มีน้ำกินน้ำใช้ ก็มีน้ำกินน้ำใช้อย่างอุดมสมบูรณ์ พืชผลการเกษตรให้ผลผลิตเต็มที่ ลูกหลานมีที่เล่นน้ำหัดว่ายน้ำอย่างสนุกสนาน เหล่ากุ้งหอยปูปลาที่สูญหายไปนานช้าก็กลับมาปรากฎให้เห็น ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น รายจ่ายลดลง

             อยู่มาวันหนึ่งมีคนแปลกหน้าขึ้นมาดูสถานที่ที่ชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างขึ้นมา และได้ปลูกต้นไทรและไม้น้ำอื่นๆไว้ทั้งสองฝั่งคลอง แล้วเรียกชื่อที่แห่งนั้นว่า ฝายมีชีวิต ต่างคนต่างชื่นชมว่าชาวบ้านที่รี่ช่างคิดช่างทำ แทนที่จะปล่อยให้น้ำซึ่งเทวดาให้มา จะไหลลงสู่ทะเลโดยเปล่าประโยชน์ ก็รู้จักหาวิธีการเก็บรักษาไว้ นอกจากนั้นยังช่วยผ่อนภาระน้ำท่วมเมืองอีกด้วย


         





ผลงาน "ครูท้วม" ฝายมีชีวิตคลองพุดหง 


แล้วคุณคิดอย่างไรแสดงความคิดเห็นด้านล่างได้ครับ




ฝายมีชีวิตคลองพุดหง

ฝายมีชีวิตคลองพุดหง

ฝายมีชีวิตคลองพุดหง


ฝายมีชีวิตทุ่งสง

Manager Online - Breaking News